Tag: WorkLifeBalance

spot_img

ถ้าไม่พูดคำว่าเหนื่อย…จะพูดคำว่าอะไรดี?

น้องคนนึงที่ทำงานโพสต์ถามใน FB เป็นคำถามชวนคิดที่เกิดขึ้นจริงที่พวกเรารับรู้ได้จากการ WFH มานาน จากงานวิจัยพบว่าผลเสียของการ WFH ทางด้านจิตใจทำให้พนักงานรู้สึกโดดเดี่ยว (isolated) ไม่มีสมาธิ ไม่สามารถแยกเวลางานกับเวลาส่วนตัว สุดท้ายคือ Burnout ที่เรามักจะได้ยินบ่อยที่สุด จริง ๆ แล้วสภาพเหนื่อย เครียด หรือ Burnout มันคืออะไรกันแน่ และเราอยู่จุดไหนกันแล้ว นั่นเป็นสิ่งที่เราควรรับรู้เพราะ Self-awareness เป็นเหมือนกุญแจสำหรับการหาวิธีรับมือได้ถูกต้อง วันนี้เลยไป...

ประสิทธิภาพการนอน ประสิทธิผลของงาน

คนแซวบ่อย ๆ ว่าถ้าส่งไลน์ ส่งเมลมาหลังสามทุ่มจะไม่มีสัญญาณตอบกลับจากเรา หลายคนถามว่าเรานอนเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร คำตอบนั้นพักไว้ก่อน แต่เราอยากจะบอกว่าทำไมทุกคนควรนอนเร็วมากกว่า หลากหลายงานวิจัยแสดงคำตอบไปในทางเดียวกันว่า มนุษย์งานที่นอนไม่เต็มอิ่มจะมีอารมณ์หงุดหงิดมากกว่าคนที่นอนเต็มอิ่ม ซึ่งระยะเวลาในการนอนเต็มอิ่มนั้น อาจแตกต่างไปในแต่ละคน แต่ผลวิจัยบอกว่า คนวัยทำงาน (26-64 ปี) ควรนอน 7-9 ชั่วโมงต่อวัน การนอนไม่พอทำให้ประสิทธิภาพของสมองสั่งงานได้ถดถอย ความสามารถในการผลิต (Productivity) น้อยลง รวมทั้งความพอใจในเนื้องานที่ตัวเองทำออกมาก็จะลดลงเช่นกัน คนที่นอนไม่พอมีอัตราการขาดงานเฉลี่ยมากกว่าคนอื่น และคนที่นอนน้อยมีอัตราการเกิดอุบัติเหตุในที่ทำงานมากกว่าคนอื่นด้วย อย่างไรก็ตามไม่ใช่แค่เรื่องงานเท่านั้น...

Strategy Hour สละเวลาเพียงวันละชั่วโมง เพื่อจะได้เวลาอันมีประสิทธิภาพเพิ่มอีกวันละชั่วโมง

เดวิส ร้อค ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Your Brain at Work กล่าวว่า เราสามารถโฟกัสกับงานโดยเฉลี่ยแล้วเพียงวันละ 6 ชั่วโมงเท่านั้น นั่นหมายความว่าหากเราทำงานวันละ 8 ชั่วโมง เราจะมี 2 ชั่วโมงที่ทำให้เราเสียเวลาไปเปล่า ๆ โดยไม่ได้ผลลัพธ์มากนัก เราสามารถนำ  2 ชั่วโมงนั้นมาทำสิ่งอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์มากกว่านั่งเช็กกล่องข้อความทางอีเมล หรือข้อความทางแอปพลิเคชันไลน์จนถึงเวลาเลิกงาน ปัญหาที่เราพบคือ การนั่งทำงานเป็นเวลานาน หรือประชุมแบบต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ จะทำให้สูญเสียพลังงาน โดยเรามักจะพูดกับตัวเองว่า “วันนี้เรายุ่งมากเลย แต่เรายังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันสักที”...

”ความสุข” แพร่ได้เหมือน “ไวรัส”

จะเป็นอย่างไรหากวันนึงเราตื่นขึ้นมาแล้วปรากฎว่ามีไวรัสตัวใหม่ชื่อ "ความสุข" กำลังระบาดในประเทศไทย ทำให้คนที่อยู่ใกล้กับบุคคลที่มีเชื้อไวรัสความสุขนั้น มีความสุขไปด้วย แล้วเจ้าเชื้อไวรัสนี้ก็สามารถแพร่ระจายไปสู่บุคคลอื่น โดยไม่ต้องสัมผัสกันด้วยซ้ำ หลายคนพออ่านถึงตรงนี้ก็คงคิดว่า ถ้ามีเจ้าเชื้อนี้ก็ดีใช่ไหมล่ะ ถ้าความสุขเกิดขึ้นและติดต่อกันง่ายเช่นนั้น ทุกคนในประเทศไทยคงมีความสุขกันทั่วหน้า และทุกคนบนโลกก็คงยิ้มและครึกครื้นทั้งวันเป็นแน่ ถ้าหากมีเชื้อไวรัสความสุขนี้จริง! แต่อย่าเพิ่งดับฝันตัวเองไป เพราะสิ่งที่ผู้เขียนกำลังจะนำมาพูดถึงคือ มุมมองที่ผู้เขียนมีต่อ "ความสุข" ในเชิงจิตวิทยาว่า ความสุขนั้นก็สามารถแพร่ได้เหมือนกับไวรัส COVID-19 ที่เรารู้จักกัน ถ้าให้เทียบก็คงเป็นเหมือนโลกคู่ขนานทางจิตใจ ที่เกิดขึ้นไปพร้อมๆ กับโรคทางกาย เพียงแต่เราอาจไม่เคยนึกถึง นักจิตวิทยามีมุมมองเรื่องความสุขว่า...
Privacy Overview

This website uses cookies so that we can provide you with the best user experience possible. Cookie information is stored in your browser and performs functions such as recognising you when you return to our website and helping our team to understand which sections of the website you find most interesting and useful.